บทความ

 





อิสลามมีหลักศรัทธา 6  ประการ


1-    ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ 


     โดยเชื่อมั่นว่าพระองค์คือผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นพระเจ้า ผู้ทรงดูแล ผู้ทรงบริหารกิจการทั้งปวงเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น โดยปราศจากภาคีร่วมใดๆทั้งสิ้น   พระองค์ทรงมีพระนามอันสวยงามและคุณลักษณะอันสูงส่ง โดยไม่เหมือนกับสิ่งถูกสร้างใดๆ พระองค์ทรงเอกะ ทรงเป็นที่พึ่งของทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ พระองค์คือผู้สร้าง ผู้ให้เป็นและให้ตาย ผู้ให้อาหารและปัจจัยยังชีพ มนุษย์จึงต้องขอบคุณต่ออัลลอฮ์จากความโปรดปรานทั้งหลายของพระองค์ เป็นบ่าวที่ดีต่อพระองค์ด้วยการเคารพและภักดีต่อพระองค์เพียงองค์เดียว และไม่ตั้งสิ่งใดเป็นภาคีร่วมกับพระองค์ พระองค์ทรงมีสิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ควรแก่การเคารพ สักการะ  





     2  - ศรัทธาต่อบรรดาเทวทูต 


       บรรดาเทวทูต หรือบรรดาเทพ(ตามที่จะใช้คำด้วยการอนุมานหรือการเปรียบ)  พวกเขามีชื่อเรียกว่า มะลาอิกะฮ์ หรือ มะลัก พระองค์ทรงสร้างพวกเขาจากรัศมี เป็นสิ่งมีชีวิตที่เร้นลับ  และเป็นหนึ่งจากบรรดาปวงบ่าวของพระองค์ พวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮ์โดยไม่มีการฝ่าฝืน ไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ไม่มีการพักผ่อน พระองค์เท่านั้นที่รอบรู้ในจำนวนของพวกเขา บรรดาเทวทูตมีหน้าที่รับคำบัญชาจากอัลลอฮ์ อาทิ 


- ญิบรีล (เกเบรียล) ทำหน้าที่รับวะห์ยู (วิวรณ์) ดำรัสและคำสั่งจากอัลลอฮ์ มายังศาสนทูตแต่ละท่าน


- มีกาอีล (มิกาเอล) รับหน้าที่ในการจัดการฝนตามบัญชาของอัลลอฮ์


- มะลักทำหน้าที่จดบันทึกความดี ความชั่วของมนุษย์ ซึ่งจะอยู่ขนาบข้างซ้ายและขวาของมนุษย์ทุกคน


- มาละกุลเมาต์ ทำหน้าที่ทำการถอดวิญญาณของมนุษย์ที่วาระสุดท้ายของเขามาถึง 


- มุงกัร, นะกีร ทำหน้าที่สอบสวนวิญญาณผู้ตายในเรื่องของการศรัทธา ในอีกมิติชีวิตหลังความตาย ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะถูกจัดการศพเช่นใด หรือไม่ได้รับการจัดการศพก็ตามแต่ 


 -อิสรอฟีล ทำหน้าที่เป่าสังข์ เมื่อถึงเหตุการณ์วันสิ้นโลก


และยังมีเทวทูตอีกมากมายที่มีหน้าที่ต่างๆตามที่อัลลอฮ์ได้สั่งใช้ 


     บรรดาเทวทูตของอัลลอฮ์นั้น ไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์อันใด ความสามารถของพวกเขานั้นมาจากการประทานและการอนุมัติของอัลลอฮ์ พวกเขาคือบ่าวของพระองค์ ที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์โดยทันที ไม่มีการขัดขืนใดๆ เพียงพวกเขามีลักษณะพิเศษ เช่น ไม่กินไม่ดื่ม ไม่มีการหลับพักผ่อน ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่เบื่อหน่าย มนุษย์ไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเทวทูตได้ ซึ่งพวกเขาสามารถจำแลงกายเมื่อปรากฏต่อหน้ามนุษย์ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์ พวกเขามีความรักต่อบรรดาผู้ที่ศรัทธา และขอพรจากอัลลอฮ์ทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา พวกเขาไม่มีอำนาจในการที่จะให้คุณหรือให้โทษต่อผู้ใด นอกจากด้วยกับอนุมัติจากพระองค์อัลลอฮ์เท่านั้น





       3  - ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ 


         ทุกประชาชาติแต่ละยุคสมัย ถูกนิยามด้วยกับ ศาสนทูตที่พระองค์ได้ส่งมา ซึ่งพร้อมกันนั้นพระองค์ได้ประทานคัมภีร์เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันฐานะการเป็นศาสดาประกาศก เพื่อเป็นรัศมีและทางนำให้แก่มนุษยชาติ นั่นคือข้อสำคัญที่มนุษย์ถือกำเนิดในแต่ละยุคจะต้องยึดถือโดยดุษณี และสำหรับประชาชาติยุคสุดท้ายนี้ พระองค์ทรงส่งศาสนทูตมูฮัมหมัด พร้อมกับคัมภีร์อัลกุรอ่าน อัลลอฮ์ได้ตรัสในอัลกุรอ่านว่า





"لَقَدْ أَرْسَلْنَا رُسُلَنَا بِالْبَيِّنَاتِ وَأَنزَلْنَا مَعَهُمُ الْكِتَابَ وَالْمِيزَانَ لِيَقُومَ النَّاسُ بِالْقِسْطِ ... ( 25 )


ความว่า "โดยแน่นอนเราได้ส่งบรรดาศาสนทูตของเราพร้อมด้วยหลักฐานทั้งหลายอันชัดแจ้งและเราได้ประทานคัมภีร์และความยุติธรรมลงมาพร้อมกับพวกเขาเพื่อมนุษย์จะได้ดำรงอยู่บนความเที่ยงธรรม.." (อัลกุรอ่าน บท อัลฮะดี้ด 25 )





    ส่วนหนึ่งในบรรดาคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมา เช่น


- เตาร๊อต (Torah-โทราห์) ถูกประทานให้กับ นบีมูซา (โมเสส) 


- ซะบูรฺ  ( Psalm- ซาม/อังกฤษ, ซาเอม/กรีก)  ถูกประทานให้กับ นบีดาวูด (เดวิด)  


- อินญีล  (Gospels, Bible-ไบเบิ้ล) ถูกประทานให้กับ นบีอีซา (เยซู) 


-ซุฮุฟ หรือฉบับจารึกของท่านนบีอิบรอฮีม (อับราฮัม)


- อัลกุรอ่าน เป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานแก่ท่านนบีมูฮัมหมัด (ขออัลลอฮ์ทรงอำนวยพรและความศานติสุขแก่ท่าน) 


     ดังนั้นความหมายของการศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ของอัลลอฮ์ คือ ศรัทธาว่าคัมภีร์เหล่านี้ล้วนมาจากอัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว  มิได้เกิดจากความคิดหรือการปั้นแต่งขึ้นมาของบรรดาศาสนทูตแต่อย่างใด คัมภีร์สมัยก่อนในอดีตต่างก็ได้สูญหาย ถูกเปลี่ยนแปลง หรือถูกบิดเบือนไป อันเนี่องจากพระองค์ไม่ได้ให้สัญญาว่าจะเก็บรักษา นอกจากคัมภีร์อัลกุรอ่านเท่านั้น ที่ยังคงเหลืออยู่ด้วยกับตัวบทที่ดั้งเดิม เพราะพระองค์ได้ทรงสัญญาด้วยการรักษาของพระองค์


 


       4 -  ศรัทธาต่อบรรดาศาสนทูต 


        การศรัทธาว่าบรรดาศาสนทูตทั้งหลายนั้น เป็นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงคัดเลือกส่งมาประกาศศาสนา และบอกถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อมนุษยชาติ เชิญชวนไปสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้น พร้อมเป็นแบบอย่างในการสักการะต่ออัลลอฮ์ และเตือนให้ห่างไกลจากการล่อลวงของพวกมารร้าย ศาสนทูตเหล่านั้นพวกท่านต่างก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม เป็นผู้ทรงคุณธรรม มีมารยาทอันสูงส่ง เผยแผ่ศาสนาโดยสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่เกินเลยขอบเขต แต่มนุษย์ในกาลถัดมาต่างหากที่เพิ่มเติม ทำให้ตกหล่น หันเหออกจากทางนำ และเจือจางรางเลือนต่อแนวทางที่เคยได้รับไว้  และแน่นอนอัลลอฮ์ผู้ทรงรู้ดียิ่งว่ามนุษย์นั้นเป็นเช่นไร จนในยุคสุดท้ายนี้ที่ผู้คนเริ่มออกห่างจากสัจธรรม  พระองค์จึงได้ทรงส่งนบีมูฮัมหมัด ศาสนทูตท่านสุดท้าย เพื่อเรียกร้องไปสู่ศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ 


      บรรดาศาสนทูตที่อัลลอฮ์ทรงกล่าวถึงในอัลกุรอ่านมี 25 ท่าน อาทิเช่น นูฮ์ (โนอาห์), อิบรอฮีม(อับราฮัม), อิสมาอีล(อิชเมล), อิสฮาก(อิชอัค), ยะกูบ(ยาโคบ), ยูซุฟ(โยเซฟ), ยูนุส(โยนาห์), มูซา(โมเสส), ดาวูด(เดวิด), สุลัยมาน(โซโลมอน), ซะการียา(เศคาริยาห์), ยะห์ยา(ยอห์น), อีซา(เยซู)อัลมะซีห์ เป็นต้น พวกเขาเป็นผู้ที่มีมารยาทอันสูงส่ง และเป็นแบบฉบับที่ดีงามให้แก่กลุ่มชนของพวกเขาในแต่ละยุคสมัย


 พระองค์อัลลอฮ์ได้ส่งบรรดาศาสนทูตต่างๆในอดีตไปยังกลุ่มชนของพวกเขาโดยเฉพาะ แต่สำหรับท่านนบีมูฮัมหมัดนั้น พระองค์ได้ส่งท่านมายังมนุษยชาติทั้งมวล


      จากเหตุผลที่พระองค์ได้ทรงส่งพวกเขามาบอกถึงสัจธรรม หนทางไปสู่พระเจ้า และเป็นสักขีพยาน เพื่อเป็นคำตอบ ณ ที่อัลลอฮ์ จากการที่ผู้คนจะกล่าวอ้างต่ออัลลอฮ์ในโลกหน้า ถึงการที่พระองค์ไม่ได้ส่งศาสนทูตมาตักเตือน 


พระองค์ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอ่าน ซึ่งมีความหมายว่า " แท้จริงศาสนทูตของเราได้มายังพวกเจ้าแล้ว โดยที่เขาจะได้ชี้แจงแก่พวกเจ้า ตามวาระสมัยที่ได้ว่างเว้นจากบรรดาศาสนทูตที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ไม่กล่าวว่า มิได้มีผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือนคนใดมายังพวกเราเลย แท้จริงได้มีผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือนมายังพวกเจ้าแล้ว และอัลลอฮ์นั้นทรง   เดชานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง”


                                                              (อัลกุรอ่าน บท อัลมาอิดะห์ 19) 








    


       5 - ศรัทธาต่อวันสิ้นโลก 


       กล่าวคือ การเชื่อมั่นในชีวิตหลังความตาย ไม่ใช่การสูญสิ้นไปเฉยๆ และไม่ได้กลับมาจุติเกิดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่จะต้องเข้าใจและเชื่อมั่นว่า อัลลอฮ์ได้ทรงลิขิตเวลาวันสิ้นโลกเอาไว้แล้ว ซึ่งนั่นคือทุกชีวิตจะต้องล้มตาย ไม่มีสิ่งใดเหลือรอด มันถูกกำหนดไว้แล้วโดยไม่มีใครหนีพ้น แล้วทุกๆชีวิตตั้งแต่วิญญาณดวงแรกจนถึงวิญญาณดวงสุดท้าย  ทั้งหมดจะได้รับการฟื้นคืนชีพ จะถูกสอบสวน พิพากษาถึงทุกๆเจตนา การกระทำ ความดีและความชั่วแม้จะเล็กเท่าผงธุลีก็ตามพวกเขาจะได้เห็นมันในโลกหน้า และถูกตอบแทนรางวัลเนื่องด้วยกระทำความดี โดยที่อัลลอฮ์จะให้พวกเขาเข้าสวรรค์ด้วยกับความเมตตาของพระองค์  หรือลงโทษพวกเขาเนื่องจากกระทำความชั่ว โดยที่พระองค์จะให้พวกเขาเข้านรกด้วยกับความยุติธรรมของพระองค์


       ไม่มีผู้ใดล่วงรู้กำหนดเวลาของวันสิ้นโลก แม้แต่บรรดาเทวทูต บรรดาศาสนทูต หรือบรรดาญิน (สิ่งมีชีวิตเร้นลับ) ความรู้ในกำหนดเวลาวันสิ้นโลกอยู่ ณ ที่พระองค์เท่านั้น หากแต่ว่าพระองค์ทรงเผยให้รู้เพียงเล็กน้อยถึงสัญญาณของมันซึ่งจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆบนโลกนี้ ผ่านวจนะของศาสนทูตมูฮัมหมัด เนื่องด้วยท่านเป็นผู้ที่นำความรู้จากอัลลอฮ์ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มาบอกเตือนประชาชาติ เช่น การแข่งขันกันสร้างตึกสูง ความรู้จะหดหาย ความชั่วร้ายจะปรากฏชัด การเข่นฆ่าจะมีมาก ความตายจะดาษดื่นอันเนื่องจากโรคระบาด ผู้หญิงจะมากกว่าผู้ชาย การปรากฏของดัจญาลจอมหลอกลวง การลงมาของนบีอีซา(เยซู) ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก เป็นต้น จึงเป็นความจำเป็นที่ผู้ศรัทธาจะต้องแสวงหาความรู้ในเรื่องสัญญาณวันสิ้นโลก เพื่อตระเตรียม สะสมเสบียงความดี ตักตวงการปฏิบัติศาสนกิจก่อนวันสิ้นโลกเกิดขึ้น และทุกอย่างจะสายไป   



 





       6 - ศรัทธาในการกำหนดสภาวการณ์ทั้งมวลล้วนมาจากอัลลอฮ์ 


        มนุษย์หลายคนนั้นอาจมีความเชื่อในเรื่อง ชะตา ลิขิต แต่มักจะโยน หรือเบี่ยงเบน หน้าที่และความสามารถในการกำหนดนี้ ให้กับสิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่มีสติปัญญา ไม่มีชีวิต หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์นั้นคิดอุปโลกน์ขึ้นมาเอง โดยที่สิ่งดังกล่าว ก็มิเคยบอกกล่าวสภาพใดๆ หรือว่าแจ้งรายละเอียดใดๆของการลิขิตนั้นมาเป็นหลักฐานชัดเจน เป็นไปได้หรือว่า สิ่งที่ไม่มีชีวิตนั้นจะมากำหนดชะตา หรือลิขิตเส้นทางใดๆให้กับมนุษย์ผู้มีปัญญา สิ่งที่ไม่มีสติปัญญาจะเอาอะไรมาคิดหรือตัดสินว่า อะไรที่เหมาะสม หรือ ไม่เหมาะสม  


       ในอิสลามเชื่อมั่นเรื่องลิขิตหรือการกำหนดสภาวการณ์ ว่าอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกำหนด ในเมื่อพระองค์เป็นผู้สร้าง เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ย่อมรู้รอบต่อบรรดาสิ่งที่พระองค์สร้าง และทรงรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  


        อัลลอฮ์ – ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงสูงส่งเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง – ได้ทรงลิขิต สภาวการณ์ต่างๆ ไว้บนแผ่นจารึกที่ถูกรักษา ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างโลกนี้ขึ้นมา พระองค์ทรงกำหนดทุกสรรพสิ่ง ความดีและความชั่ว กฎระเบียบ ปริมาณ จำนวนของดวงดาว เหตุการณ์ต่างๆ  ปัจจัยยังชีพที่แต่ละคนจะได้รับ อายุขัยของแต่ละคน เหตุการณ์ต่างๆมากมายที่มนุษย์ไม่อาจรู้ ซึ่งหากเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น นั่นคือ ลิขิตของพระองค์ที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้น นอกจากอยู่ในความรู้ และการอนุมัติของพระองค์ และไม่มีสิ่งใดบังเอิญ หรือเล็ดรอดไปจากความรู้ และความสามารถของพระองค์ 


ผู้ศรัทธาจะมีความพึงพอใจต่อลิขิตของพระองค์ โดยไม่ตัดพ้อหรือตำหนิการลิขิตของพระองค์ เพราะเชื่อว่าทุกอย่างที่พระองค์ได้กำหนดมานั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา  ไม่ว่าจะเป็นความสุขสบาย หรือความยากลำบาก พวกเขาจะสดุดีและสรรเสริญพระองค์ หากสิ่งที่ดีและเขาชอบมาประสบแก่เขา และเขาได้ขอบคุณต่อพระองค์ในสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็เป็นการดีสำหรับเขา หากเป็นสิ่งที่ลำบากหรือบททดสอบได้มาประสบแก่เขา และเขาได้อดทน แน่นอน สิ่งนั้นย่อมเป็นความดีสำหรับเขา ซึ่งการอดทนเมื่อเผชิญกับความยากลำบากนั้น มีผลรางวัลอันยิ่งใหญ่  และพระองค์เท่านั้นที่รู้ว่าอะไรเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ผู้ศรัทธาจะไม่เสียใจต่อสิ่งใดที่ได้เกิดขึ้น และไม่หวั่นต่ออนาคต โดยเชื่อว่า บางครั้งในสิ่งที่พวกเขาชอบ มันอาจเป็นสิ่งเลวร้ายให้แก่เขาก็ได้ และแน่นอน ในบางครั้งบางอย่างจากสิ่งที่พวกเขาไม่ชอบ แต่มันอาจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขาก็ได้ โดยที่พระองค์เท่านั้นทรงรู้ดี



 



กระทู้ล่าสุด

ข้อความจากนักเทศน์มุส ...

ข้อความจากนักเทศน์มุสลิมถึงคริสเตียน

อานิสงส์ของการถือศีลอ ...

อานิสงส์ของการถือศีลอดหกวันชาวาล

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่ ...

สาส์นอันหนึ่งเดียวเท่านั้น

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี ...

อิสลามกล่าวถึงอะไรเกี่ยวกับการก่อการร้าย